ภาวะพร่องฮอร์โมนเพศชาย คือ ภาวะที่ร่างกายขาด เทสโทสเตอโรน (Testosterone) ที่เกิดขึ้นได้กับเพศชาย วัย 45 ปีขึ้นไป และส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าตนเองกำลังอยู่ในภาวะ ฮอร์โมนเพศชายต่ำ และอาจละเลยไปจนถึงจุดที่ยากต่อการรักษาได้
เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน
Toggle
ภาวะพร่องฮอร์โมนเพศชาย ในผู้ชายสูงอายุประกอบด้วยอาการที่แสดงชัดเจนและอาการแสดงที่ไม่ชัดเจน พบว่าความไม่แม่นยำของการวัดระดับฮอร์โมนเพศชาย รวมถึงความกังวลต่อผลเสียจากการใช้ฮอร์โมนทดแทน (Hormone Replacement Therapy) ซึ่งเกิดขึ้นในกรณีศึกษาของการใช้ฮอร์โมนชดเชยในเพศหญิงวัยหมดประจำเดือน ทำให้เกิดข้อเถียงเกี่ยวกับความปกติดังกล่าวว่ามีจริงหรือไม่ รวมถึงประโยชน์และโทษของการใช้ ฮอร์โมนผู้ชาย เพื่อชดเชย
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มีแนวทางการวินิจฉัยและรักษาสำหรับ ภาวะพร่องฮอร์โมนเพศชาย จากหลายสมาคมทางการแพทย์ ซึ่งมักรวมภาวะที่เกิดขึ้นในผู้ชายสูงอายุไว้รวมกับกลุ่มที่เกิดจากสาเหตุที่พบโดยทั่วไป
ฮอร์โมนผู้ชาย เทสโทสเตอโรน (Testosterone) อยู่ภายใต้การควบคุมของระบบ Hypothalamic Pituitary Gonadal (HPG) axis ซึ่งประกอบด้วย สมองส่วนไฮโปทาลามัน หลั่ง Gonadotropin Releasing Hormone (GnRH) ไปที่ต่อมใต้สมองส่วนหน้า เพื่อกระตุ้นการหลั่งของฮอร์โมน Gonad Otropin (Luteinizing Hormone, LH และ Follicle Stimulating Hormone, FSH) ฮอร์โมน LH จะกระตุ้นการ สร้างฮอร์โมนเพศชาย เทสโทสเตอโรน จาก Leydig Cell ของอัณฑะ (Testis) ขณะที่ฮอร์โมน FSH ควบคุมการทำงานของ Sertoli Cell เพื่อทำหน้าที่ Spermatogenesis และสร้างสารเช่น Androgen Binding Protein (ABP), Mullerian Inhibitory Substance (MIS) และ Inhibin เป็นต้น
ร่างกาย สร้างฮอร์โมนเพศชาย เทสโทสเตอโรน ตั้งแต่อายุ 6-8 สัปดาห์ภายในครรภ์มารดา สูงสุดที่อายุ 11-14 สัปดาห์และจะลดลงช่วงเกิด กลับมาสูงขึ้นอีกช่วงเข้าวัยหนุ่มและสูงสุด ช่วงอายุประมาณ 30 ปี และลดลงเมื่อสูงอายุขึ้น ค่าปกติของฮอร์โมนทีในเลือดของผู้ใหญ่อยู่ระหว่าง 300 ถึง 1000 ng/dL สูงสุดช่วงเช้าและต่ำสุดช่วงเย็น (Circadian Rhythm) ซึ่งจะมีค่าต่างกันประมาณ 30% ฤดูร้อนจะมีระดับฮอร์โมนสูงกว่าฤดูอื่นเล็กน้อย
ฮอร์โมน Testosterone เมื่ออยู่ในเลือดจะจับกับโปรตีน Sex Hormone Binding Globulin (SHBG) เป็นส่วนใหญ่ ส่วนที่เหลือจะจับกับ..Albumin และ Cortisol Binding Globulin (CBG) เหลือเป็นรูปอิสระ (Free Testosterone, FT) ประมาณ 1-2% ซึ่งเชื่อว่าเป็นส่วนที่ออกฤทธ์ (Biologically Active) โดยจับกับตัวรับ หรือ Androgen Receptor (AR) ซึ่งกระจายตามร่างกาย คำว่า Bioavailable Testosterone (BT) หมายถึงฮอร์โมนรูป FT รวมกับส่วนของ ฮอร์โมนผู้ชาย Testosterone ที่จับกับ Albumin เนื่องจากการจับกับโปรตีน Albumin นั้นค่อนข้างหลวม และสามารถหลุดออกมาเป็นรูป FT ได้ง่ายซึ่งผู้เชี่ยวชาญบางท่านเชื่อว่าเป็นส่วนที่ออกฤทธิ์ได้นอกเหนือจากส่วน FT
ฮอร์โมน Estrogen (E) ของผู้ชาย ส่วนใหญ่เปลี่ยนมาจากฮอร์โมน Testosterone และ A4 ที่ตำแหน่งกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อไขมันประมาณ 20% เท่านั้นที่หลั่งจากอัณฑะทำหน้าที่ควบคุมการหลั่งฮอร์โมน LH และการทำงานของ epiphyseal plate และกระดูก
นอกจากนี้ยังมีผลต่อ sebaceous gland สร้างไขมันที่ผิวหนังมากขึ้น เกิดสิว ผลต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง (erythropoiesis) โดยกระตุ้นที่ไขกระดูกและไต เป็นต้น
หมายถึง การเปลี่ยนแปลงด้านร่างกายและอารมณ์ เนื่องจากการลดลงของฮอร์โมนเพศชายที่เกิดขึ้น เมื่อมีอายุมากขึ้น การใช้คำว่า Andropause เพื่อเปรียบเทียบภาวะ menopause ของเพศหญิง แต่มีความแตกต่างกันคือ ภาวะ menopause การทำงานของรังไข่จะหยุดทันที จากภาวะ ovarian failure แต่ภาวะ Andropause นี้อัณฑะยังสามารถทำงานได้แต่ค่อยๆลดลง
ระดับฮอร์โมน Testosterone จะขึ้นสูงสุดช่วงอายุ 20-29 ปี และเมื่ออายุมากกว่า 40 ปี ระดับของฮอร์โมนจะลดลงด้วยอัตราแระมาณ 1-2% หรือ 3.2-3.5 ng/dL ต่อปี จากการศึกษาทางระบาดวิทยาพบว่าความชุกของภาวะพร่องฮอร์โมนเพศชาย ที่อายุมากกว่า 45 ปี อยู่ระหว่าง 12-38% ประมาณ 1/3 ในผู้ชายอายุมากกว่า 60 ปี และประมาณ 50% ที่อายุมากกว่า 70 ปี และจะพบค่าสูงขึ้นในคนอ้วน เบาหวานชนิดที่ 2 และ อายุที่มากขึ้น
นอกจากนี้ มีรายงานความผิดปกติทางอารมณ์ เช่น psychotic symptoms, excessive libido. Aggression รวมถึง physical/psychological dependence และ withdrawal symptoms อาการบวมจะพบในผู้ป่วยที่มีปัญหาโรคไต ตับ หรือหัวใจอยู่เดิม
ผลการศึกษามีทั้งสนับสนุนและคัดค้านความสัมพันธ์ระหว่างสองภาวะ ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มที่มี ระดับ ฮอร์โมนเพศชายต่ำ ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนต่ำ สัมพันธ์กับอัตราการตายทั้งชนิด all-cause และ CVD death ที่เพิ่มขึ้น ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนที่ลดลง 62.82 ng/dL จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต (all-cause mortality) ประมาณ 35% และเพิ่มความเสี่ยงของการเสียชีวิตจากระบบหลอดเลือดหัวใจประมาณ 25% และเมื่อศึกษาความสัมพันธ์ของการเสียชีวิตของผู้ป่วยกลุ่มโรคเบาหวานหรือโรคไต กลุ่มผู้ป่วยที่มีภาวะฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนต่ำร่วมด้วยจะเสียชีวิตสูงกว่ากลุ่มควบคุม
ผลการศึกษาแบบ meta-analysis จำนวน 19 การศึกษา ที่ประเมินความสัมพันธ์ระหว่างระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนและโรคระบบหลอดเลือดหัวใจ พบว่ากลุ่มผู้ชายที่มีระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนปกติจะมีความเสี่ยงต่อการเกิด CVD ต่ำกว่ากลุ่มที่มีระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนต่ำ จะเห็นความสัมพันธ์ดังกล่าวชัดเจนในกลุ่มที่มีอายุมากกว่า 70 ปี แต่รูปแบบการศึกษาศึกษาด้วยวิธี Mendelian randomization analysisไม่สนับสนุนความสัมพันธ์ดังกล่าวเชื่อว่าอาจเป็นผลกวนจากปัจจัยอื่น
โดยสรุปข้อบ่งชี้ของการใช้ฮอร์โมนผู้ชาย เทสโทสเตอโรน เพื่อชดเชยที่ยอมรับและมีประโยชน์ชัดเจน คือผู้ป่วยที่มีปัญหา ฮอร์โมนเพศชายต่ำ ที่มีสาเหตุชัดเจนหรืออายุน้อย สำหรับผู้ชายที่สูงอายุนั้นถึงแม้การศึกษาจะแสดงถึงความสัมพันธ์ของภาวะฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนต่ำกับความผิดปกติทางคลินิกหลายประการ แต่ยังไม่มีการศึกษาที่แสดงถึงประโยชน์ที่ชัดเจนโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการลดอัตราการตายและการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ จึงควรพิจารณาในกรณีดังกล่าวสำหรับผู้ป่วยแต่ละรายให้เหมาะสม