ถุงยางอนามัยป้องกันได้แค่ไหน ทำความเข้าใจในมุมที่คุณไม่เคยรู้มาก่อน
ในปัจจุบันพบสถิตการใช้ถุงยางอนามัยในประเทศไทยมากขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่วัยมัธยมต้นจนถึงวัยผู้ใหญ่ ทำให้เห็นถึงการตื่นตัวในเรื่องของความปลอดภัยจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และการคุมกำเนิด แต่ถึงจะมีแนวโน้มการใช้งานมากขนาดไหน ก็ยังพบผู้ป่วยด้วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นจำนวนมากอยู่เสมอ เพราะความสัมพันธ์ลึกซึ้งที่ทำให้เชื่อใจซึ่งกันและกันจนอาจละเลยเรื่องการใช้ถุงยางอนามัย เพื่อให้ทุกคนรู้จักและเข้าใจเกี่ยวกับถุงยางอนามัยกันมากขึ้น Trin Wellness จะมาอธิบายให้ตั้งแต่ประสิทธิภาพการป้องกัน ชนิดของและขนาดของถุงยางอนามัย ไปจนถึงวิธีการใช้งานที่ถูกต้อง
ประสิทธิภาพการป้องกันของถุงยางอนามัย
สามารถป้องกันได้ทั้งการคุ้มกำเนิด เชื้อไวรัส HIV และโรคต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดต่าง ๆ โดยมีประสิทธิภาพในการป้องกันที่แตกต่างกันดังนี้
- ประสิทธิภาพในการคุ้มกำเนิดมากถึง 98% หากใช้งานอย่างถูกวิธี
- ประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อไวรัส HIV ได้ 90% สำหรับคู่รักชาย-หญิง และ 87% สำหรับคู่รักร่วมเพศหรือการใช้งานผ่านทางทวารหนัก
- ประสิทธิภาพในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่น ๆ ได้ 50-90% เช่น ซิฟิลิส หนองใน แผลเริม หูดหงอนไก่ ไวรัสตับอักเสบบี เป็นต้น
ชนิดของถุงยางอนามัย
ตามท้องตลาดในปัจจุบันมีการผลิตถุงยางอนามัยอยู่ 2 ชนิดด้วยกันคือ
- ถุงยางอนามัยที่ผลิตจากน้ำยางธรรมชาติ
มีความยืดหยุ่นสูงและบางให้ความกระชับเมื่อได้สวมใส่ และมีราคาที่ถูกกว่าถุงยางชนิดอื่น ๆ แต่ข้อจำกัดคือถุงยางชนิดนี้ใช้สารหล่อลื่นที่ผลิตจากน้ำมันปิโตรเลียมและสารหล่อลื่นผิวหนังแบบ Mineral Oil ได้ เพราะจะทำให้ผิวยางเสื่อมสภาพลงส่งผลเสียต่อคุณภาพในการป้องกัน ควรเลือกใช้สารหล่อลื่นแบบ Water-based lubricant หรือสารหล่อลื่นที่ใช้น้ำเป็นองค์ประกอบหลัก
- ถุงยางอนามัยที่ผลิตด้วยพลาสติก (Polyurethane)
มีความยืดหยุ่นและทนต่อการฉีกขนาดมากกว่าถุงยางอนามัยที่ผลิตจากน้ำยางธรรมชาติ สามารถผลิตให้ผิวบางได้ถึง 0.1 มิลลิเมตร และใช้งานร่วมกับสารหล่อลื่นได้ทุกชนิด
ขนาดของถุงยางอนามัย
เพื่อให้ถุงยางสามารถใช้งานกับทุกคนจึงต้องมีการผลิตออกมาหลากหลายขนาด โดยมีขนาดมาตรฐานดังนี้
- ขนาด 49 มิลลิเมตร เท่ากับองคชาตที่มีขนาดเส้นรอบวง 11-12 เซนติเมตร หรือ 5 นิ้ว
- ขนาด 52 มิลลิเมตร เท่ากับองคชาตที่มีขนาดเส้นรอบวง 12-13 เซนติเมตร หรือ 5 นิ้ว
- ขนาด 54 มิลลิเมตร เท่ากับองคชาตที่มีขนาดเส้นรอบวง 13-14 เซนติเมตร หรือ 5 นิ้ว
- ขนาด 56 มิลลิเมตร เท่ากับองคชาตที่มีขนาดเส้นรอบวง 14-15 เซนติเมตร หรือ 6 นิ้ว
วิธีเลือกซื้อถุงยางอนามัยที่ถูกต้อง
- เพื่อความชัวร์ในการซื้อถุงยางอนามัย คุณควรวัดขนาดน้องชายให้เรียบร้อยก่อน เพื่อให้คุณสามารถเลือกซื้อตามขนาดมาตรฐานได้อย่างถูกต้อง เพราะถ้าหากใส่ไม่พอดีก็จะทำให้ประสิทธิภาพในการป้องกันต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
- อ่านฉลากบนกล่องถุงยางอนามัยทุกครั้ง โดยเฉพาะวันหมดอายุ และการรับรองจากสำนักงานอาหารและยาหรือ อย. เพื่อให้คุมั่นใจได้ว่าถุงยางที่คุณซื้อมีคุณภาพและใช้งานได้อย่างปลอดภัย
ควรเช็กก่อนว่ากล่องของถุงยางอนามัยมีชำรุดหรือเสียหายไปถึงข้างในกล่องหรือไม่ เพื่อให้คุณสามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัยมากที่สุด
ข้อควรระวังในการใช้ถุงยางอนามัย
- ถุงยางอนามัยถูกผลิตขึ้นมาเพื่อใช้งานครั้งเดียว เมื่อใช้งานเสร็จควรทิ้งลงถุงขยะให้ถูกที่ห้ามน้ำกลับมาใช้ซ้ำโดยเด็ดขาด
- ถุงยางอนามัยทุกชิ้นมีอายุการใช้งานไม่เกิน 30 นาที หลังจากนั้นถุงยางจะเสื่อมสภาพลงตามการใช้งานของผู้สวมใส่ ซึ่งถ้าฝืนใช้ต่ออาจเสี่ยงต่อภาวะต่าง ๆ ควรทิ้งทันทีที่ใช้ครบเวลาที่เหมาะสม
- พยายามเลี่ยงการสัมผัสถุงยางอนามัยที่ใช้แล้วโดยตรง เพื่อป้องกันการติดเชื้อโรคและเชื้อไวรัสที่อาจเกาะอยู่ทั่วทั้งถุงยาง
- เลี่ยงการเก็บถุงยางในบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงอย่างแสงแดด เลี่ยงการเก็บไว้ในที่อับชื้น และไม่ควรเก็บไว้ในบริเวณที่ถูกบีบหรือกดทับตลอดเวลาอย่างกระเป๋าสตางค์ เพราะคงสภาพของถุงยางให้พร้อมใช้งานอย่างปลอดภัย
สรุปเกี่ยวกับความรู้เรื่องถุงยางอนามัย
ไม่ว่าใครก็ตามที่ต้องการมีเพศสัมพันธ์การใช้ถุงยางอนามัยคือวิธีที่มอบความปลอดภัยได้ทั้ง 2 สามารถปกป้องตัวคุณเองและคนที่คุณรักได้จากความเสี่ยงต่าง ๆ อย่างไวรัส HIV ไวรัสตับอักเสบบี โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดต่าง ๆ รวมไปถึงช่วยคุมกำเนิดสำหรับผู้ที่ไม่พร้อมมีบุตร ซึ่งเหตุผลหลังสุดถือว่าสำคัญเป็นอย่างมากเพราะมีวัยรุ่นที่ตั้งครรภ์โดยไม่พร้อมอยู่มากมาย ดังนั้นอย่ามองข้ามความสำคัญเหล่านี้ไปแม้ว่าอรรถรสในระหว่างทำกิจกรรมจะน้อยกว่าไม่ใส่ถุงยาง แต่ก็ให้ความอุ่นใจได้มากกว่าโดยไม่ต้องมานั่งกังวลภายหลัง
Leave a reply
Leave a reply