ทำความรู้จักกับ PRP นวัตกรรมฟื้นฟูร่างกายด้วยเกล็ดเลือด

สำหรับนวัตกรรม PRP นับว่ามีบทบาทสำคัญในด้านการรักษา เพราะการดูแลตัวเองคือสิ่งที่ทุกคนต่างให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากในแต่ละวันร่างกายของเราผ่านการใช้งานจากกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย ซึ่งทำให้เกิดการสึกหรอหรืออาจเกิดการบาดเจ็บได้ด้วยเช่นกัน โดยในปัจจุบันมีวิธีการรักษาหรือฟื้นฟูร่างกายอยู่มากมายหลายแขนงด้วยกัน และแต่ละศาสตร์ก็จะมีจุดเด่นในการรักษาที่แตกต่างกันออกไป วันนี้ Trin Wellness จะพาคุณไปทำความรู้จักกับนวัตกรรมใหม่อย่าง “PRP” ที่ได้รับความนิยมในทางการแพทย์เป็นอย่างมาก ทั้งในศาสตร์ของความงาม วิทยาศาสตร์การกีฬา ไปจนถึงการทำ PRP เพื่อบรรเทาอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ เหมาะกับใครบ้างติดตามกันได้เลย

PRP คืออะไร?

Platelet Rich Plasma หรือ PRP คือ กระบวนการรักษาตัวเองตามธรรมชาติของมนุษย์ โดยเป็นการนำเลือดของผู้เข้ารับการรักษามาทำการปั่นแยกเลือดด้วยความเร็วสูงเพื่อให้ได้พลาสมาที่มีลักษณะสีเหลืองใสออกมา และนำไปสกัดเอาเกล็ดเลือดจากชั้นที่เข้มข้นที่สุดออกใช้งาน โดยภายในเกล็ดเลือดมีสารที่เรียกว่า Growth Factor หรือสารกระตุ้นการเจริญเติบโต เมื่อสกัดออกมาในปริมาณที่พอเหมาะแล้วก็จะทำการฉีดลงไปในจุดที่ต้องการแก้ปัญหา ซึ่งเซลล์ Growth Factor จะเข้าไปกระตุ้นเซลล์บริเวณนั้นให้แบ่งตัวหรือเพิ่มจำนวนได้อย่าววรวดเร็ว

PRP ช่วยรักษาอะไรบ้าง?

สำหรับนวัตกรรม PRP เป็นที่นิยมในการศัลยกรรมใบหน้า ลดริ้วรอย ฟื้นฟูผิว กระตุ้นคอลลาเจน ซึ่งสารสกัดที่ได้จากเกล็ดเลือดจะมี Growth Factor ที่สามารถนำมาใช้ได้กับตัวเอง เหมือนฟิลเลอร์แบบธรรมชาติที่ให้ความปลอดภัยมากกว่าสารประเภทอื่น ๆ โดยนวัตกรรม PRP มีส่วนช่วยรักษาให้กับบริเวณที่ฉีด ดังนี้

  • ช่วยให้ผิวใสสุขภาพดี
  • ฟื้นฟูผิวหน้าให้อ่อนเยาว์
  • เพิ่มคอลลาเจนและความยืดหยุ่นให้กับผิว
  • ช่วยลดรอยสิว หรือรอยแผลเป็นให้น้อยลง
  • ช่วยรักษาฝ้า
  • ช่วยกระตุ้นสร้างเซลล์รากผม
  • ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับเส้นผม
  • ช่วยเร่งการสมานแผลต่าง ๆ เช่น หลังศัลยกรรม ผ่าตัดหน้าอก หรือผ่าตัดหน้าท้อง

ทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผล

ผลลัพธ์จากการทำ PRP ส่วนใหญ่จะเห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล ในกรณีที่เป็นการฟื้นฟูผิวหนังก็จะสามารถเห็นผลชัดเจนภายในระยะเวลา 3 เดือน และควรฉีดซ้ำ 2-3 ครั้ง ด้วยระยะห่างครั้งละ 4-6 สัปดาห์ ส่วนในกรณีที่ใช้ PRP รักษาอาการเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับข้อเข่าและกล้ามเนื้ออาจจะต้องฉีดประมาณ 2-3 ครั้งต่อบริเวณที่รักษา ขึ้นอยู่กับคำแนะนำแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

การทำ PRP เหมาะกับใคร?

  • ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับข้อเข่าเสื่อม โดย PRP คือวิธีที่สามารถช่วยชะลออาการเสื่อมได้โดยไม่จำเป็นต้องผ่าตัด
  • ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูอาการเส้นเอ็นฉีกขาด อาการบาดเจ็บของกระดูกอ่อน ส่วนใหญ่เป็นกรณีที่เกิดขึ้นกับนักกีฬา
  • ผู้ที่ต้องการรักษาภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ด้วยโปรแกรม PRP ฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศชาย
  • ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวหนัง เช่น ลดริ้วรอย ลดรอยดำ ลดหลุมสิว กระชับรูขุมขน แก้ปัญหาใต้ตาหย่อนคล้อย เป็นต้น
  • ผู้ที่ต้องการรักษาปัญหาผมร่วง ผมบาง ช่วยบำรุงเซลล์รากผมให้แข็งแรงและกระตุ้นให้เกิดเส้นผมชุดใหม่

ใครบ้างที่ควรหลีกเลี่ยง

  • ผู้ที่มีปัญหาเกล็ดเลือดต่ำ และโลหิตจางขั้นรุนแรง
  • ผู้ที่มีปัญหาโรคผิวหนังและมะเร็งผิวหนัง
  • ผู้ที่อยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์
  • ผู้ที่ใช้ยาสลายลิ่มเลือด ยาต้นเกล็ดเลือด และยาแอสไพริน
  • ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี

ขั้นตอนการทำ PRP

ก่อนเข้ารับการทำ PRP นั้นมีหลายสิ่งที่ผู้เข้ารับการรักษาต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพักผ่อน ต้องนอนหลับให้เพียงพอ งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ งดการใช้ยาปฏิชีวนะที่ต้องทานติดต่อกันนานๆ และห้ามทานยาในกลุ่ม ASA หรือ NSAID (ยาสลายลิ่มเลือด ยาต้นเกล็ดเลือด และยาแอสไพริน) โดยกระบวนการทำ PRP มีดังต่อไปนี้

  • ดื่มน้ำก่อนเข้าสู่ขั้นตอน PRP ประมาณ 1-2 ลิตรเพื่อลดความข้นหนืดของเลือด สามารถดูดเลือดออกมาได้ง่าย ๆ
  • เจาะเลือดจากข้อพับในปริมาณ 8-10 cc
  • นำหลอดเลือด BCT Tube (Blood Cell Therapy) มาปั่นในเครื่องเหวี่ยงสารหรือ Centrifuge เพื่อแยกเกล็ดเลือดออกจากพลาสมาที่มีสาร Growth Factor แบบเข้มข้น

เมื่อได้เกล็ดเลือดในปริมาณที่ต้องการแล้ว แพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็จะทำการฉีด PRP ไปยังส่วนที่ต้องการ จากนั้นก็ปล่อยให้เกิดการฟื้นฟูตามกระบวนการทางธรรมชาติของร่างกายมนุษย์

วิธีดูแลตัวเองหลังการทำ PRP

ด้วยการทำ PRP คือการกระตุ้นให้บริเวณที่ได้รักษาเกิดการสร้างเซลล์และฟื้นฟูตัวเอง อาจทำให้เกิดการอักเสบ และปวดตึงใน ณ บริเวณนั้น โดยภายใน 48 ชั่วโมงแรกสามารถดูแลได้ด้วยตัวเองดังนี้

  • บรรเทาอาการปวดด้วยการประคบเย็น และสามารถทานยาแก้ปวดพาราเซตามอลได้
  • หลีกเลี่ยงการใช้งานในบริเวณที่ผ่านการทำ PRP และควรเลี่ยงการโดนแดดแรง ๆ 1-2 สัปดาห์

ในกรณีที่ทำ PRP บริเวณผิวหนัง สามารถใช้ครีมบำรุงประเภทมอยเจอร์ไรเซอร์เพื่อให้ความชุ่มชื้นได้ และใช้ครีมกันแดดได้ด้วยเช่นกัน ในระยะแรกผิวจะมีการลอกของออกแนะนำให้ปล่อยไว้เฉย ๆ ไม่ควรไปแตะหรือพยายามแกะออก

สรุปเกี่ยวกับการทำ PRP

PRP ถือเป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ที่สามารถช่วยรักษาบุคคลทั่วไปจากอาการต่าง ๆ ทั้งในเรื่องของการปวดข้อเข่า กล้ามเนื้ออักเสบ เส้นเอ็นฉีกขาด อาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศสำหรับผู้ชาย และยังครอบคลุมไปถึงปัญหาเรื่องของผิวพรรณอีกด้วย โดยการรักษาด้วยวิธี PRP คือทางเลือกปลอดภัยและเห็นผลได้อย่างรวดเร็ว สำหรับใครที่ต้องปรึกษาเรื่องการรักษาและฟื้นฟูร่างกายด้วยนวัตกรรม PRP ที่ Trin Wellness พร้อมให้คำแนะนำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญผ่านทางเว็บไซต์หรือโทร 0972655994 ได้ทันที

Leave a reply