องคชาตเป็นแผลรับมืออย่างไร หากรู้ทันสาเหตุดูแลได้อย่างปลอดภัย

รับมืออย่างไรเมื่อองคชาตเป็นแผล

สำหรับผู้ชายแล้วหากพบว่าอวัยวะเพศหรือองคชาตเป็นแผลคงจะเป็นเรื่องที่น่าวิตกกังวลพอสมควร เพราะอาการแบบนี้ถือว่าเกิดขึ้นได้ไม่บ่อยนักสำหรับผู้ที่รักษาความสะอาดและมีความระมัดระวังตัวเองเป็นอย่างดี ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดแผลในที่ลับสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นกิจวัตรประจำวัน อุบัติเหตุจากการเล่นกีฬา รวมไปถึงกิจกรรมทางเพศส่วนบุคคลด้วยเช่นกัน โดยอาการผิดปกติที่นอกเหนือจากบาดแผล เช่น อาการปวด อาการบวม รู้สึกแสบ ๆ และอาจมีเลือดออก หากพบอาการเหล่านี้อย่านิ่งนอนใจ วันนี้ Trin Wellness จะมาอธิบายให้เหล่าคุณผู้ชายได้เข้าใจว่าการที่องคชาตเป็นแผลนั้นเกิดจากอะไร ดูแลอย่าง และควรเลี่ยงกิจกรรมอะไรบ้าง?

องคชาตเป็นแผลที่เกิดจากกิจกรรมในชีวิตประจำวัน

ในกรณีนี้สามารถเกิดขึ้นได้จากกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวันไม่ว่าจะเป็น อุบัติเหตุจากการเล่นกีฬา องคชาตเป็นแผลถูกกระแทกจากการหกล้ม อุบัติเหตุในระหว่างทำงาน รวมไปถึงการมีเพศสัมพันธ์ด้วยเช่นกัน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้อาจเป็นต้นเหตุให้เกิดบาดแผล อาการฟกช้ำ อาการบวมและอักเสบได้ มากไปกว่านั้นอาจเกิดการติดเชื้อได้หากรักษาความสะอาดไม่ดีพอ ดังนั้นเมื่อเกิดการบาดเจ็บที่ไม่รุนแรงมากสามารถทำแผลได้ด้วยการใช้น้ำเกลือหรือน้ำสะอาด จากนั้นให้ปิดแผลด้วยผ้าก็อชหรือใช้พลาสเตอร์ปิดแผลได้เพื่อป้องกันการติดเชื้อ

องคชาตเป็นแผลจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

กรณีถัดมาคืออาการที่เป็นผลพวงมาจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สามารถพบได้ในประเทศไทยหลายชนิดด้วยกัน ซึ่งส่วนใหญ่สามารถติดตั้งทั้งผู้ชายและผู้หญิง โดยมีโรคทางเพศสัมพันธ์ดังต่อไปนี้

1. โรคแผลเริมอ่อน

โรคแผลเริมอ่อนมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อจากแบคทีเรียชนิด Haemophilus Ducreyi ผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งจากผู้ที่มีเชื้อโดยเฉพาะการมีเพศสัมพันธ์ ทำให้เกิดเป็นตุ่มแดงขึ้นที่บริเวณอวัยวะเพศใต้หนังหุ้มปลายองคชาต และบริเวณถุงอัณฑะ ซึ่งแผลที่เกิดขึ้นสามารถเปื่อยได้ภายใน 1-2 วันทำให้มีอาการเจ็บแสบร้อนตรงที่องคชาตเป็นแผล

การดูแลรักษาโรคแผลเริมอ่อนโดยทั่วไปจะใช้วิธีการทานยาปฏิชีวะหลายชนิด เช่น Azithromycin, Ciprofloxacin ,Erythromycin และ Ceftriaxone เพื่อกำจัดเชื้อแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุของโรค ช่วยลดความรุนแรงของแผลและบรรเทาอาการได้ภายในระยะเวลา 1 สัปดาห์ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของแผลด้วยเช่นกัน หากแผลมีขนาดใหญ่และพบว่าต่อมน้ำเหลืองโตขึ้นจะต้องเพิ่มวิธีการรักษาด้วยการผ่าตัดเจาะน้ำเหลืองออกเพื่อลดอาการบวมลง ซึ่งอาจกินเวลารักษานานถึง 1-3 สัปดาห์ ในระหว่างนั้นควรงดการมีเพศสัมพันธ์ไปก่อนและหมั่นทำความสะอาดแผลด้วยน้ำเกลืออย่างสม่ำเสมอเพื่อลดโอกาสการเกิดภาวะแทรกซ้อน

2. โรคแผลกามโรคเรื้อรังบริเวณขาหนีบ

โรคแผลกามโรคเรื้อรังบริเวณขาหนีบมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อจากแบคทีเรียชนิด Calymmatobacterium พบได้ในกลุ่มประเทศเขตร้อน สามารถติดต่อได้จากการมีเพศสัมพันธ์ โดยอาการจะแสดงออกหลังจากรับเชื้อราว ๆ 1-2 สัปดาห์ เมื่อเกิดการติดเชื้อขึ้นทำให้เกิดเป็นก้อนนูน ๆ และค่อยปริแตกเป็นแผลบริเวณโคนขาหนีบและบริเวณอวัยวะเพศ โดยแผลกามโรคเรื้อรังแตกต่างจากแผลทั่วไปตรงที่ไม่สามารถหายเองได้ และไม่มีอาการต่อมน้ำเหลืองโต

สำหรับโรคนี้ควรได้รับการดูแลรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยเร็วที่สุด ซึ่งจะมีการใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น Azithromycin, Ciprofloxacin และ Doxycycline ทานติดต่อกัน 3 สัปดาห์ ในระหว่างที่รับการรักษาควรงดการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าแผลจะหายสนิทและควรติดตามอาการโดยแพทย์เท่านั้น

3. โรคซิฟิลิส

โรคซิฟิลิสเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิด Treponema Polidum เป็นโรคที่พบผู้ป่วยมากในประเทศไทยอีกทั้งยังเป็นโรคที่ถ่ายทอดไปยังทารกในครรภ์ได้ ลักษณะของอาการเริ่มแรกจะมีตุ่มเล็ก ๆ เป็นแผลมีน้ำเหลือง ในระยะถัดไปจะทำให้เกิดผื่นคันขึ้นตามมือ เท้า และทั่วร่างกาย พร้อมกับอาการไข้ร่วมด้วย และหนักที่สุดแบคทีเรียอาจเข้าไปทำลายระบบสมองและอวัยวะสำคัญในร่างกาย 

หากพบว่าตนเองมีอาการในระยะเริ่มต้นควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษาโดยเร็วที่สุด เริ่มแรกแพทย์จะทำการตรวจความเสี่ยงจากการเจาะเลือด เมื่อพบเชื้อจะใช้ยาปฏิชีวนะชนิด Penicillin ในการรักษา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอาการและดุลยพินิจของแพทย์ว่าควรใช้เวลารักษานานเท่าไหร่

4. โรคหูดหงอนไก่

โรคหูดหงอนไก่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส HPV (Human Papilloma Virus) ทำให้เกิดติ่งเหมือนเนื้องอกในบริเวณใต้หนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ เส้นสองสลึง รูเปิดท่อปัสสาวะ และทวารหนัก มีลักษณะเป็นหนังย่น ๆ คล้ายหงอนไก่อาจมีอาการแสบคัน ปวด และอาจมีแผลเลือดออกร่วมด้วย เป็นโรคที่รักษาให้หายขาดได้หากผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ดี โดยแพทย์จะทำการรักษาด้วยยาทาเฉพาะที่ชนิด Imiquimod เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันไวรัส ยา Podolox เพื่อยับยั้งการแบ่งเซลล์เฉพาะที่ และสารละลายกรด Trichloroacetic Acid เพื่อทำลายโปรตีนในเซลล์หูดหงอนไก่ หากการรักษาด้วยยาไม่ได้ผลแพทย์อาจจะต้องใช้วิธีผ่าตัดเอาติ่งหูดออก หรือใช้เลเซอร์เพื่อจี้ติ่งหูดออก

5. โรคฝีมะม่วง

สุดท้ายกันโรคฝีมะม่วง เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Chlamydia Trachomatis ชนิด L1-L3 ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ เมื่อรับเชื้อจะมีระยะฟักตัวอยู่ราว ๆ 3 วันถึง 6 สัปดาห์ ทำให้เกิดแผลถลอกและเป็นตุ่มที่บริเวณปลายองคชาตหลังจากได้รับเชื้อประมาณ 10-14 วันในระหว่างนั้นอาจมีการติดเชื้อที่ต่อมน้ำเหลือง ผู้ป่วยบางรายอาจรู้สึกแสบในขณะปัสสาวะ โดยอาการสามารถทวีความรุนแรงได้เรื่อย ๆ จนเกิดการติดเชื้อเข้าสู่กระแสเลือดได้ในที่สุด

ในการรักษานั้นแพทย์ใช้ยาปฏิชีวนะชนิด Azithromycin และ Doxycycline และอาจมีการผ่าตัดเอาของเหลวบริเวณที่เป็นฝีออกจนกว่าจะหายดี หลังจากนั้นผู้ป่วยจะต้องมาพบแพทย์เพื่อติดตามอาการจนกว่าจะได้รับการวินิจฉัยแล้วว่าไม่พบเชื้อ

องคชาตเป็นแผลมีเพศสัมพันธ์ได้หรือไม่และควรป้องกันอย่างไร?

หากพบว่าองคชาตเป็นแผลอันดับแรกที่คุณควรทำคือการสังเกตอาการต่าง ๆ ร่วมด้วยไม่ว่าจะเป็นลักษณะของแผล มีตุ่มขึ้นในบริเวณต่าง ๆ ของอวัยวะเพศและโคนขาหนีบ อาการปวด บวม แสบ และคัน หากพบอาการเหล่านี้ร่วมด้วยอย่านิ่งนอนใจ คุณควรได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุด โดยในระหว่างที่เข้ารับการรักษาไม่ว่าด้วยอาการหรือโรคใดก็ตาม ควรงดการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะหาย และหลังจากนั้นควรใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอื่น ๆ จะดีที่สุด โดยสามารถป้องกันด้วยการปฏิบัติตามขั้นตอนเหล่านี้

  • ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
  • ป้องกันการเสียดสีและสารเคมี ไม่ใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่น และไม่ระบายอากาศ ควรใช้สารหล่อลื่นขณะมีเพศสัมพันธ์ในกรณีที่มีน้ำหล่อลื่นธรรมชาติที่ไม่เพียงพอ
  • รักษาโรคอย่างถูกต้อง หากพบแผลที่อวัยวะเพศ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันทีเพื่อรับการรักษาอย่างถูกวิธี พร้อมปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
  • รักษาสุขอนามัยที่ดี รวมถึงการรับวัคซีนเพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • หมั่นตรวจสุขภาพทางเพศ ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพทางเพศอย่างสม่ำเสมอ เพื่อตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และรักษาได้ในทันที

สรุปเกี่ยวกับการรับมือเมื่อองคชาตเป็นแผล

สำหรับผู้ชายทุกคนการที่พบว่าองคชาตเป็นแผลมักจะเกิดความกังวลขึ้นเป็นอย่างมาก เพราะแน่นอนว่ามันเป็นอาการขั้นตอนจากโรคต่าง ๆ ที่ติดได้จากการมีเพศสัมพันธ์ ดังนั้นการปกป้องตัวคุณเองและคนที่คุณรักษาด้วยการใช้ถุงยางอนามัยยังคงเป็นวิธีที่ช่วยสร้างความมั่นใจได้เป็นอย่างดี หรือถ้าให้ดีควรได้รับการตรวจหาเชื้อจากแบคทีเรียและโรคต่าง ๆ เป็นประจำ สามารถช่วยให้คุณรับมือกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคตอย่างทันท่วงที

Leave a reply